วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555


     อธิยายหลักการออกแบบฐานข้อมูล  โดยละเอียด

 หลักการรออกแบบฐานข้อมูล (Database Design)

       สิ่งสำคัญที่สุดในการพัฒนาระบบสารสนเทศใด ๆ คือ การออกแบบระบบที่ดีระบบที่ได้รับการ ออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้วนั้นเมื่อนำไปดำเนินการพัฒนาก็จะสามารถสนองตอบต่อวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ฐานข้อมูลนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับระบบสารสนเทศแบบต่าง ๆ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผล เนื่องจากฐานข้อมูลเป็นส่วนที่ใช้จัดเก็บข้อมูลนำเข้าของทุกระบบสารสนเทศ ดังนั้น การออกแบบระบบสารสนเทศจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อการออกแบบฐานข้อมูลด้วย     
วัตถุประสงค์หลักในการออกแบบฐานข้อมูล คือ การสร้างฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งการออกแบบฐานข้อมูลในที่นี้จะมีความหมายครอบคลุมถึงการออกแบบฐาน ข้อมูลในระดับแนวคิด (Conceptual level) และการออกแบบฐานข้อมูลในระดับภายในหรือเชิงกายภาพ (internal level หรือ physical level)



รูปที่ 3.1 Database System Network

การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีและสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างทำได้ยาก ซึ่งปัจจัยสำคัญในการออกแบบฐานข้อมูล คือ ความสามารถในการสรรหาวิธีเพื่อแก้ไขปัญหานั้น ๆ อย่างประสิทธิภาพ ซึ่งโดยทั่วไป การออกแบบฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานภายในองค์กรสามารถจำแนกได้ 2 วิธี คือ วิธีอุปนัย (inductive approach) และวิธีนิรนัย (deductive approach)

1. วิธีอุปนัย
ดังนั้น การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัยจึงเป็นการออกแบบฐานข้อมูลด้วยการเก็บรวบรวม ข้อมูลและ/หรือโปรแกรมที่มีการใช้งานอยู่แล้วภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อจัดทำเป็นระบบฐานข้อมูลขององค์กรการออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัย หรือ การออกแบบฐานข้อมูลจากล่างขึ้นบน (bottom-up design) เป็นการออกแบบฐานข้อมูลจากแนวคิดพื้นฐานที่ว่า ลักษณะงานในแต่ละหน่วยงานย่อมมี ความสมบูรณ์และความซับซ้อนแตกต่างกัน ฉะนั้น รูปแบบของฐานข้อมูลที่ดีควรเกิดจากการรวบรวมข้อดีของข้อมูลและ/หรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่มีการใช้งานอยู่แล้วภายในหน่วยงานต่าง ๆ มาจัดทำเป็นรูปแบบฐานข้อมูลขององค์กร เนื่องจากข้อมูลและ/หรือโปรแกรมดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในหน่วยงานนั้น ๆ อยู่แล้ว
หากทว่าข้อจำกัดในการออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัย คือ การนำกรรมวิธีย่อย ๆ จากการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ มารวมเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก และต้องใช้เวลาอย่างมากจึงจะสามารถออกแบบและสร้างระบบฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ได้


  2. วิธีนิรนัย 
การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีนิรนัย หรือ การออกแบบฐานข้อมูลจากบนลงล่าง (top-down design) เป็นการออกแบบฐานข้อมูลด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนการทำงานของหน่วยงาน ต่าง ๆ ภายในองค์กร และความต้องการใช้งานฐานข้อมูล จากการสังเกตการณ์ สอบถาม และ/หรือ สัมภาษณ์บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฐานข้อมูล ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่มีใช้อยู่ภายในหน่วยงาน เพื่อนำมาออกแบบโครงสร้างฐานข้อมูลขององค์กร

หากทว่าข้อจำกัดในการออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีนิรนัย คือ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฐานข้อมูลควรต้องเข้าใจ ให้ความสำคัญและความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จึงจะทำให้ได้ระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมระบบงานต่าง ๆ ภายในองค์กร ซึ่งข้อดีของการออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีนิรนัย คือ เป็นวิธีการออกแบบที่เหมาะกับการจัดวางระบบฐานข้อมูลในองค์กรที่มีความหลากหลายของหน่วยงาน ตัวอย่างเช่น ในแต่ละหน่วยงานมีการอ้างถึงข้อมูลเดียวกันด้วยชื่อที่แตกต่างกัน เป็นต้น



      แก้ไข  ตัวอย่าง ฐานข้อมูล 

        การเพิ่มหนังสือหรือ  วัสดุสารสนเทศให้กับระบบงานห้องสมุด

1.  การเพิ่มรายการหนังสือและวัสดุสารสนเทศ ผู้ใช้จะต้องเข้าไปเพิ่มที่ ระบบงานห้องสมุด ในเมนูที่ชื่อว่า
 ระบบฐานข้อมูลวัสดุสารสนเทศ


2.กรอกข้อมูลชื่อหนังสือและหมายเลขISBN/ISSN  เมื่อกรอกข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือเรียบร้อย คลิก ตกลง

3. หลังจากที่คลิก ตกลง แล้ว ให้คลิกคำว่า กรุณาคลิกที่นี่ ดังรูป

4. เมื่อคลิกแล้ว จะเจอหน้าต่างดังรูป


ใส่รายละเอียดของหนังสือ(เท่าที่ในหนังสือเล่มนั้นจะมี)โดยจะมีเลือกฟิลด์ให้เลือกตามรายละเอียดของหนังสือ
ให้คลิก 
 ที่ซึ่งจะบอกรายละเอียดของแท็ก(tag)นั้นๆ ดังรูป



ในกรณีที่แท็ก(tag)ที่ต้องการไม่มีให้ดูทางด้านล่าง ใช้เม้าส์คลิกที่ตัวเลขที่ต้องการ1ครั้ง

   
 เมื่อคลิกแล้ว ตัวเลขที่คลิกนั้นจะถูกเพิ่ม ดูกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง


เมื่อเพิ่มรายละเอียดเสร็จสิ้นแล้ว คลิกที่คำว่า เพิ่มไอเทมให้รายการนี้ ดูจากลูกศรสีฟ้า
 จากนั้นก็กด Submit ดูจากลูกศรสีแดง

เมื่อมาถึงหน้าต่างนี้แล้้ว คลิกเพิ่มItem ตามลูกศร ดังรูป

ก็จะพบกับหน้าต่างให้กรอกรายละเอียดของหนังสือ
-ประเภทวัสดุ -> ใ้ห้เลือกประเภทของหนังสือที่ได้เพิ่มลงไปเช่น ถ้าเป็นวารสาร ก็ให้เลือก วารสาร เป็นต้น
-วัสดุของห้องสมุด -> หนังสือหรือวัสดุสารสนเทศนี้เป็นของห้องสมุดไหนก็ให้ใส่ไว้ในห้องสมุดนั้น
ในตัวอย่างหนังสือเป็นของห้องสมุดหลัก จึงไว้ในห้องสมุดหลัก
-สถานที่จัดเก็บ -> เลือกสถานที่จัดเก็บหนังสือ
-เลขทะเบียน -> คือจำนวนหนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุด เช่น ถ้ามีหนังสืออยู่1,000 เล่ม เมื่อมีเพิ่มเข้ามาอีก500เล่ม 

ก็ให้นับเพิ่มจาก1,000เล่มไปเรื่อยๆจนครบจำนวนหนังสือใหม่ที่ได้เพิ่มเข้ามา ทั้งหมดก็จะได้1,500เล่ม
ซึ่งในตัวอย่างเพิ่มเป็นเล่มแรกก็ใช้เลข000001
-Barcode -> การเพิ่มBarcode สามารถเพิ่มได้ตามต้องการ แต่ในตัวอย่าง จะใช้Barcode เหมือนกับ

 เลขทะเบียน เพราะว่าจะง่ายต่อการ พิมพ์Barcode เพื่อติดหนังสือ
-ราคา -> ราคานี้ให้ดุจากหนังสือหรือวัสดุสารสนเทศเล่มนั้นๆ
-ฉบับที่ -> ดูทางขวามือจะมีคำว่า วัสดุนี้ มีจำนวน 0 รายการในฐานข้อมูล ถ้ามี 0 รายการ

 ให้เราใส่ 1 แต่ถ้ามี 1รายการ ให้เพิ่ม 2 เพราะว่าจะเป้นการนับจำนวนหนังสือหรือวัสดุสารสนเทศ
ในฐานข้อมูลว่า มีเล่มนี้ทั้งหมดกี่เล่ม
หลังจากที่เพิ่มรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว กด เพิ่มข้อมูล

เมื่อกดเพิ่มข้อมูลแล้ว ก็จะมีหน้าต่างแสดงหนังสือที่เพิ่งเพิ่มลงไป
หมายเหตุในกรณีที่มีหนังสือเล่มเดียวกันแต่มีหลายเล่ม ให้เพิ่ม โดยการกด 
 


เมื่อกดมาแล้ว ก็ให้ใส่รายเอียดหนังสือหรือวัสดุสารสนเทศ (เหมือนกับที่เคยทำครั้งแรกที่เพิ่มหนังสือ)
 แต่จะต้องเปลี่ยนเลขทะเบียนให้นับจากของเดิม คือเมื่อก่อนหน้านี้เราได้เพิ่มหนังสือไป
 โดยใช้เลขทะเบียน 000001 แต่ในครั้งนี้เราต้องใช้ 000002
Barcode ก็ต้องเปลี่ยนจะใช้ซ้ำกับของเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนให้เหมือนกับ เลขทะเบียน
ฉบับที่ ก็ให้ดูจากทางขวามือ ถ้ามีจำนวน 1 รายการ ก็ใส่ 2
ดังรูปที่อยู่ทางด้านล่าง
เมื่อเสร็จแล้วกดเพิ่มข้อมูล


หลังจากที่เพิ่มข้อมูลแล้ว จากเห็นว่า หนังสือได้ถูกเพิ่มเป็น 2 เล่ม ซึ่งเป็นหนังสือชนิดเดียวกัน
จากนั้นคลิกที่ กลับหน้าฐานข้อมูลวัสดุฯ





หนังสือที่เราเพิ่งเพิ่มลงไป Items จะบอกจำนวนหนังสือชนิดนี้ว่ามีกี่เล่ม ในตัวอย่างมี 2 เล่ม
 ซึ่งเป็นหนังสือชนิดเดียวกัน ใช้เลข ISBN/ISSN เหมือนกัน




ที่มา :  http://schoolforweb.com/library/index3.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น